กล้องถ่ายรูป




กล้องถ่ายรูป
มนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีการประดิษฐ์คิดค้นกล้องถ่ายภาพขึ้นมานั้น  ใช้การวาดภาพในการบันทึกความทรงจำและสื่อความหมายต่างๆ  แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 19 นั้น  มนุษย์ได้คิดค้นกระบวนการถ่ายภาพขึ้นจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 2 สาขา  คือ
1.) ฟิสิกส์  ได้แก่เรื่องของแสงและกล้องถ่ายภาพ
2.) เคมี  ได้แก่เรื่องเกี่ยวกับสารไวแสงและน้ำยาสร้างภาพ
การถ่ายภาพเป็นการรวม 2 หลักการที่สำคัญเข้าด้วยกัน  คือ  การทำให้เกิดภาพจำลองของวัตถุ  ไปปรากฏบนฉากรองรับ  และการใช้สื่อกลางในการบันทึกภาพจำลองให้ปรากฏอยู่ได้อย่างคงทนถาวร
อริสโตเติล  นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกเป็นผู้บันทึกหลักการแรกไว้เมื่อ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช  ซึ่งมีใจความว่า..  "ถ้าเราปล่อยให้ลำแสงผ่านเข้าไปทางรูเล็กๆ ในห้องมืด  ถือกระดาษขาวให้ห่างจากรูรับแสงประมาณ 15 ซม. จะปรากฏภาพหัวกลับที่ไม่ค่อยชัดเจนนักบนกระดาษ"
ต่อมาจึงได้ใช้หลักการนี้ในการประดิษฐ์ "กล้องออบคิวรา" ซึ่งเป็นภาษาละติน  หมายถึง  "ห้องมืด"  หรือที่ชาวไทยเรียกกันว่า "กล้องรูเข็ม" นั่นเอง
วิชาถ่ายภาพตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Photography" มาจากคำศัพท์ในภาษากรีก  โดย "Phos = แสงสว่าง" และ "Graphein = เขียน"  เมื่อนำมารวมกันจึงหมายถึง "เขียนด้วยแสงสว่าง  แต่ในปัจจุบันนี้  หมายถึง  วิชาที่ว่าด้วยการทำให้ภาพเกิดขึ้นโดยใช้แสงสว่างมากระทบกับวัสดุไวแสง  และครอบคลุมไปถึงการถ่ายรูป  การล้างฟิล์ม  การอัดขยายภาพ  และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
กล่าวโดยสรุป  วิชาการถ่ายรูปก็คือ  "ความรู้ที่ว่าด้วยกระบวนแห่งการสร้างรูปโดยอาศัยแสงสว่างเข้าช่วย"  นั่นเอง
สำหรับการถ่ายภาพในประเทศไทยนั้น  ได้มีช่างถ่ายภาพคนแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ท่านสังฆราชฝรั่งเศส นามปาเลอปัว  ส่วนช่างถ่ายภาพชาวไทยคนแรก คือ พระยากระสาปน์กิจโกศล หรือ นายโหมด  ต้นตระกูลอมาตยกุล  ซึ่งมีชื่อเสียงในการถ่ายภาพเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป  และ ช่างถ่ายภาพที่มีผลงานเก็บรักษาในหอสมุดแห่งชาติจำนวนมากจนถึงปัจจุบันนี้ คือ หลวงอัคนีนฤมิตร หรือ นายจิตร เป็นช่างหลวงในสมัยรัชการที่ 4 และ 5 ซึ่งมีผลงานภาพถ่ายบุคคลทุกชนชั้น  และยังมีภาพถ่ายสถานที่  ตลอดจนภาพเหตุการณ์ต่างๆ อีกด้วย

ชนิดของกล้องถ่ายรูป
          
กล้องถ่ายรูปนับเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมาจากกล้องออบสคูร่า (Obscura) ที่มีลักษณะเป็นกล้องมืด
(Dark room) และได้รับการพัฒนามาเรื่อย ๆ โดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ เป็นต้นว่า ดาร์แก ทัลโบต บาร์แนก , ดันคัน อิสแมนต์ , แลนด์ และคนอื่น ๆ ซึ่งกล้องปัจจุบันนี้สามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ดังนี้

1. กล้องบ๊อกซ์ (Box Camera) 
          เป็นกล้องที่ไม่มีกลไกสลับซับซ้อน มีขนาดรูรับแสงคงที่ อาจเป็น 8 หรือ 11 อันใดอันหนึ่ง และมีความเร็วชัดเตอร์เดียวปกติประมาณ 1/60 กล้องชนิดนี้ให้ระยะชัดตั้งแต่ 6 ฟุตขึ้นไปจนถึงไกลที่สุด ฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้อาจเป็นฟิล์มขนาด 120, 127 และ 620 บางชนิดอาจใช้ฟิล์มขนาด 126 ก็ได้ อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ถ่ายรูปได้ดีในสภาพที่มีแสงเพียงพอ

2. กล้องพับ (Folding Camera)
           
เป็นกล้องที่มีห้องมืดชนิดพับระหว่างตัวกล้องกับเลนส์สามารถพับเก็บ หรือยืดออกมาได้ นอกจากนั้นกล้องชนิดนี้ยังเพิ่มขนาดของรูรับแสง
และสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วของชัตเตอร์ได้หลายระดับมากยิ่งขึ้น และอาจใช้กับไฟแวบอีกด้วยฟิล์มที่ใช้อาจมีขนาดต่าง ๆ เช่น 120,127 และ 620 เป็นต้น

3. กล้องรีเฟล็กซ์ (Reflex Camera) กล้องชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
        
3.1 แบบเลนส์คู่ (Twin Lens Reflex) บางครั้งอาจเรียกว่ากล้อง TLR ซึ่งเคยได้รับความนิยมมากในสมัยก่อน กล้องชนิดนี้มีเลนส์ 2 ตัว เลนส์ตัวบนทำหน้าที่สะท้อนภาพเข้าสู่ช่องมองภาพซึ่งมีกระจกเป็นตัวสะท้อนทำให้ผู้ถ่ายรูป
มองเห็นวัตถุที่จะถ่ายได้ ส่วนเลนส์ตัวล่างทำหน้าที่รับแสงเพื่อส่องผ่านไปยังฟิล์ม กล้องรีเฟล์กซ์เลนส์คู่นี้ได้รวมเอาข้อดี ของกล้องใหญ่ (View Camera) และกล้องเรนจ์ไฟเดอร์ (Range finder) เข้า ด้วยกันโดยเฉพาะสามารถที่มองภาพ จากบ้างบนกล้องได้โดยลดกล้องให้ต่ำลงแล้วก็มองภาพจากช่องมองได้สดวกสบาย อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ก็มีข้อเสีย กล่าวคือเนื่องจากใช้เลนส์ 2 ตัว ตั้งอยู่ในแนวดิ่งซึ่งกันและกัน
         ดังนั้นภาพที่มองเห็นจากเลนส์ตัวบนอาจจะไม่เหมือนกันเลยที่เดียวกับภาพที่ถ่าย ซึ่งเรียกว่าเกิดอาการผิดเพี้ยน จากการตัดส่วนของภาพ (Parallax) ยิ่ง เป็นการถ่ายรูปใกล้ ๆ บางส่วนของภาพ จะถูกตัดออกไปแม้ว่าเวลามอง ที่ช่องมองภาพนั้นเป็นภาพสมบูรณ์ก็ตาม อีกประการหนึ่งภาพที่เห็นที่ช่องมองภาพจะกลับซ้ายเป็นขวาเสมอ นอกจากนี้ กล้องชนิดนี้ส่วนมากจะเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ จึงเป็นข้อเสียเปรียบเช่นกัน ฟิล์มที่ใช้อาจมีขนาด 120, 220 หรือ 35 มม . ได้ 
       
        
3.2 แบบเลนส์เดี่ยว (Single Len Reflex) หรือเรียกว่า SLR ซึ่ง เป็นที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสะดวกและง่ายต่อการประกอบภาพ นอกจากนั้นมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันได้มากมาย กล้องชนิดนี้สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ และไม่มีอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนภาพ (Parallax) เลย เพราะใช้เลนส์ตัวเดียวทำหน้าที่ทั้งมองภาพ หาระยะชัด และบันทึกภาพ อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ก็มีข้อเสียเปรียบ คือ อาจจะชำรุดได้ง่าย เพราะการกระดกขึ้นลง ของกระจก 45 องศา อีกประการหนึ่งเมื่อกดชัตเตอร์จะมีเสียงดังมาก อาจทำให้เกิดการรบกวนได้ โดยเฉพาะถ้านำไปถ่ายรูปสัตว์อาจทำให้เกิดการตื่นตระหนกตกใจได้ นอกจากนั้นเมื่อถ่ายรูปในที่ ๆ แสงมีน้อยอาจทำให้การมองภาพที่ช่องมองไม่ชัดเจนเพราะมีการสะท้อนหลายครั้ง ที่กระจก และปริซึ่มภายในตัวกล้องทำให้ความเข้ม ของแสงลดลงไปได้ กล้องรีเฟลกซ์เลนส์เดี่ยวส่วนมากใช้ระบบชัตเตอร์ม่านจึงทำให้ใช้ความเร็วของ ชัตเตอร์ได้สูงมาก การเปลี่ยนขนาดของรูรับแสง ก็มีมากฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้มีเบอร์ 135, 126, 120, 220 และ 110 ซึ่งสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มาก

4. กล้องเล็ก (Miniature Camera) หรือ กล้องวิวไฟเดอร์ (View finder) 
        กล้องชนิดนี้มีบางคนเรียกชื่อว่า เรนจ์ไฟเดอร์ (Range Finder) และบางคนเรียกว่า กล้อง 35 มม . มาตรฐาน (35 mm. Standard Camera) เพราะใช้กับฟิล์มขนาดมาตรฐานคือ 35 มม . กล้องชนิดนี้เหมาะที่สุด สำหรับนักถ่ายภาพสมัครเล่น เพราะออกแบบเพื่อให้สะดวกสบายในการจับถือ มีทั้งชนิดที่ต้องปรับแต่ง และไม่ปรับแต่งความชัด ความเร็วชัดเตอร์และขนาด ของรูรับแสงกล้องชนิดนี้มีลักษณะกระทัดรัดใช้ง่าย ราคาไม่แพงนัก อย่างไรก็ตามก็มีข้อเสียคือภาพถ่ายอาจเกิดอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนของ ภาพ (Parallax) ได้ถ้าถ่ายรูปใกล้กว่า 3 ฟุต เนื่องจากหน้าต่างหาระยะชัดของภาพตั้งอยู่คนละแห่งกับเลนส์คือจะอยู่เหนือ เลนส์ถ่ายรูปเล็กน้อย ในปัจจุบันกล้องชนิดนี้ได้พัฒนา ให้เปลี่ยนเลนส์ได้ และมีอุปกรณ์อื่น ๆ ประกอบมากมายจึงทำให้มีผู้นิยมกล้องชนิดนี้อยู่พอสมควร
5. กล้องนักสืบหรือกล้องเล็กพิเศษ ( Ultra-Miniature Camera) 
         เป็นกล้องที่มีน้ำหนักเบามาก กระทัดรัด มีขนาดเล็ก สามารถพกติดตัวไปได้สะดวกสบาย และสามารถแอบซ่อนเพื่อบันทึกภาพ ในกรณีที่ไม่ให้ผู้ถูกถ่ายรูปสังเกตได้กล้องชนิดนี้ ปรับหน้ากล้องโดยอัตโนมัติ มีไฟแวบพร้อมในตัวกล้องใช้ฟิล์ม 16 มม . และกลักเบอร์ 110
6. กล้องหนังสือพิมพ์ (Press Camera) 
         เป็นกล้องที่ออกแบบใช้กับงานด้านหนังสือพิมพ์ ตัวกล้องมีขนาดใหญ่ ส่วนประกอบของกล้องคล้ายคลึงกับกล้องพับคือมีเบลโล (Bellow) สามารถปรับยืดย่นย่อได้ตามต้องการ ปกติกล้องชนิดนี้ ใช้กับฟิล์ม 120 หรือ ฟิล์มแผ่นขนาด 2 1/4 X 3 1/4 นิ้ว และ 4 X 5 เนื่อง จากกล้องมีน้ำหนักมาก ดังนั้นนักข่าวหนังสือพิมพ์ และนิตยสารจึงหันมาใช้กล้องแบบสะท้อนเลนส์เดี่ยวแทนกล้องหนังสือพิมพ์ใน ปัจจุบัน
7. กล้องใหญ่ (Studio Camera) 
         บางครั้งเรียกว่ากล้องวิว (View Camera) เป็นกล้องที่นิยมใช้ตามร้าน
ถ่ายรูปเพื่อธุรกิจการค้า กล้องชนิดนี้มีขนาดใหญ่โตมีน้ำหนักมากจึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้งานภายนอกห้องถ่ายรูปและในการ
ใช้กล้องจำเป็นต้องมีขาตั้ง (Tripod) รองรับตัวกล้อง ฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้เป็นฟิล์มแผ่นมีขนาดต่าง ๆ เช่น 2 X 3 นิ้ว 5 X 7 นิ้ว 8 X 10 นิ้ว และ 11 X 14 นิ้ว เมื่อถ่ายรูปเสร็จสามารถถอดฟิล์มออกได้ทันที ข้อดีของกล้องชนิดนี้คือจะไม่เกิด อาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนของภาพ (Parallax) และ ยังสามารถมองเห็นภาพที่ช่องมองได้อย่างดี เพราะที่มองมีขนาดใหญ่ ทำให้เห็นรายละเอียดของภาพที่จะบันทึกนั้นได้ดีเนื่องจากมีกระจกขยายอันเป็น ส่วนประกอบในช่องมองภาพ
          นอกจากนั้นยังสามารถปรับมุมของภาพได้ตามต้องการ อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ก็มีข้อเสียเปรียบคือ ภาพที่เกิดขึ้นที่ช่องมองภาพนั้นจะมีลักษณะหัวกลับและกลับซ้ายขวา อีกทั้งภาพจะไม่ชัดเจนดังนั้นผู้ถ่ายรูปต้องใช้ผ้าสีดำ คลุมข้างหลังกล้องบนช่องมองภาพ และคลุมศีรษะผู้ใช้ให้สามารถมองภาพได้ชัดเจน ในขณะปรับความคมชัด



8. กล้องถ่ายรูปที่สร้างขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ
         
8.1 กล้องถ่ายรูปแบบสเตอริโอ (Stereo Camera) หรือเรียกว่ากล้องถ่ายรูปสามมิติ (Three Dimension Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบ มาเพื่อถ่ายรูปสามมิติ ในตัวกล้องจะมีเลนส์ 2 ตัวเมื่อถ่ายรูปจะได้ 2 ภาพ ซึ่งภาพแรกเป็นภาพที่ตาข้างขวามองเห็น และภาพที่ 2 เป็น ภาพที่ตาข้างซ้ายมองเห็น ดังนั้นภาพทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเวลาที่ดูภาพลักษณะนี้ ต้องใช้เครื่องดูภาพพิเศษจึงจะทำให้เห็นภาพ 3 มิติได้อย่างชัดเจน
         
8.2 กล้องถ่ายรูปโพลารอยด์ (Polaroid Camera) เป็นกล้องถ่ายรูปที่เมื่อถ่ายเสร็จจะได้ภาพทันที เพราะมีกระบวนการล้างอัดอยู่ในตัวฟิล์ม สร้างภาพภายในเวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น ภาพที่จะเป็นภาพโฟสิติฟ (Positive) กล้อง ชนิดนี้เหมาะในการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วรีบด่วน และเพื่องานบางอย่างเท่านั้น ข้อเสียก็คือ ฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงและภาพที่ได้ไม่มีความคงทนเก็บ ไว้ได้ไม่นาน เหมือนขบวนการถ่ายรูปทั่ว ๆ ไป
        
8.3 กล้องถ่ายรูปทางอากาศ (Aerial Camera) เป็น กล้องที่ออกแบบมาใช้งานเฉพาะ การถ่ายรูปทางอากาศเท่านั้น มีน้ำหนักมาก ใช้ติดตั้งกับเครื่องบิน หรือยานอวกาศเพื่อการถ่ายรูปสำรวจ หรือทำแผนที่ต่าง ๆ ส่วนประกอบของกล้องชนิดนี้ถูกออกแบบพิเศษมาเพื่อใช้งานเฉพาะจึงไม่สามารถที่ จะนำมาใช้ในงานทั่ว ๆ ไปได้
        
8.4 กล้องถ่ายรูปใต้น้ำ (Under Water Camera) เป็น กล้องที่ออกแบบมา เพื่อใช้ถ่ายรูปใต้น้ำโดยเฉพาะตัวกล้องบรรจุอยู่ในกล่องที่แข็งแรงกันน้ำ เข้าและ ทนต่อแรงดันของน้ำการควบคุมเพื่อให้กล้องทำงานนั้น มีปุ่มควบคุมอยู่ภายนอกกล่องบรรจุ
        
8.5 กล้องถ่ายรูปจากกล้องจุลทัศน์ (Photomicrographic Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบพิเศษ สำหรับงานที่ต้องการถ่ายรูปขยายตั้งแต่ 30:1 ถึง 1000:1 ตัวกล้องจะต่อเข้ากับกล้องจุลทัศน์ สามารถถ่ายรูปได้ตามต้องการ
        
8.6 กล้องรีโปร (Repro-Camera) เป็น กล้องที่ออกแบบเพื่อใช้กับงานการพิมพ์ เพื่อถ่ายรูปลายเส้น ภาพแยกสีและพวกฮาลัฟโทน ต่าง ๆ ซึ่งวัสดุต้นแบบอาจเป็น พวกภาพถ่าย หรือภาพวาดก็ได้หากแต่ต้องมีลักษณะเป็นแผ่นเรียบ
        
8.7 กล้องถ่ายรูปความไวสูง (High Speed Camera) เป็น กล้องที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับงานถ่ายรูปนิ่งที่ต้องการถ่ายวัตถุที่เคลื่อน ที่อย่างเร็วมาก ซึ่งกล้องธรรมดาไม่สามารถถ่ายได้ กล้องชนิดนี้มีความไวของชัตเตอร์สูงมาก อาจใช้ถ่ายรูปลูกปืน หรือลูกธนูที่กำลังเข้าหาเป้าได้
        
8.8 กล้องถ่ายรูปสำหรับผลิตภาพขนาดเล็ก (Microphotogra-phic Camera) เป็นกล้องถ่ายรูปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ถ่ายรูปขนาดไม่เล็กกว่า 1/10 ของวัตถุต้นฉบับ ดังนั้นจึงเหมาะที่จะนำมาถ่ายรูปวาดวงจรอิเล็กโทรนิคและวงจรไฟฟ้าต่าง ๆ
        
8.9 กล้องพาโนรามา (Panoramic Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบ เพื่อถ่ายรูปที่มีมุมของวิวกว้างประมาณเกือบ 140 องศา โดยที่สัดส่วนของภาพ ที่ได้ไม่ผิดเพี้ยนเหมือนการใช้เลนส์ตาปลา กล้องชนิดนี้ นำมาใช้ถ่ายรูปหมู่ที่มีจำนวนคนมาก ๆ นั่งเรียงแถวกันซึ่งกล้องธรรมดาไม่สามารถบันทึกภาพ ให้มีสัดส่วนเหมือนจริงได้การทำงานของกล้องชนิดนี้มีเลนส์ที่หมุนรอบแนวดิ่ง โดยแสงจะผ่านเลนส์แล้วหักเหผ่านช่องแคบที่หมุนตามเลนส์ไปตกลงบนฟิล์ม ที่มีลักษณะโค้งอยู่ด้านหลังของกล้องทำให้การบันทึกภาพออกมาดูเป็นภาพที่มี ลักษณะยาวในแนวระดับ
        
8.10 กล้องถ่ายรูปแบบจาน (Disk) เป็น กล้องถ่ายรูปที่บันทึกภาพลงบนแผ่นแม่เหล็ก แทนการบันทึกลงบนฟิล์มถ่ายรูป เมื่อต้องการดูภาพก็สอดแผ่นแม่เหล็ก ลงในเครื่อง จะทำให้เห็นภาพบนจอโทรทัศน์ซึ่งเป็นภาพนิ่งและสามารถพิมพ์เป็นแผ่นได้ นอกจากนี้กล้องชนิดนี้ยังนำไปใช้กับการส่งภาพถ่ายเหตุการณ์ จากจุดหนึ่งเข้ายังโรงพิมพ์ เพื่อพิมพ์ภาพข่าวลงในหนังสือพิมพ์โดยส่งภาพไปตามสายโทรศัพท์ได้ ในปัจจุบันนี้ผู้ผลิตได้คิดค้นและออกแบบให้กล้องถ่ายรูป มีลักษณะการใช้ง่าย สะดวกสบาย และใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ใช้อาจไม่ต้องมีความรู้ในด้านการถ่ายภาพมากมายก็สามารถใช้กล้องได้ อย่างดีบันทึกภาพได้
ตามต้องการและภาพมีคุณภาพ

         ดังนั้นกล้องจึงทำงานแบบอัตโนมัติในการปรับหน้ากล้องปรับระดับชัตเตอร์ตามสภาพของแสงที่ถ่าย เช่น กล้องโกดัก อินสตาเมติด (Kodak Instamatic) กล้องอักฟา แรบปิด (Agfa Rapid) Argus, Minox BL, Yashica Atoron และ อีกหลาย ๆ ยี่ท้อหรือให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ถ่ายรูปตามความต้องการกล้องอัตโนมัติบางชนิด สามารถบอกวัน เดือน ปี หรือ แม้กระทั่งเวลาในการบันทึกภาพนั้น ๆด้วยกล้องชนิดนี้เหมาะมากในการนำมาใช้เพื่อเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์และ มนุษยศาสตร์ นอกจากจะบอกรายละเอียดต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วยังใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ถ้าแสงไม่พอที่จะพอ ที่จะถ่ายรูปก็สามารถเปิดไฟแฟลชได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย
        ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีประเภทชิป (chip) มาใช้แทนฟิล์มถ่ายภาพและได้ภาพประเภทดิจิตอล (Digital) ที่สามารถโหลด (load) เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์ (print) หรือนำไปใช้กับงานสื่อประสม (Multimedia) อื่น ๆ ได้




ส่วนประกอบที่สำคัญของกล้องถ่ายรูป 

        ส่วน ประกอบที่สำคัญของกล้องถ่ายรูปกล้องถ่ายรูปที่นิยมมากในปัจจุบัน แม้จะมีความสามารถ และคุณลักษณะแตกต่างกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบ คล้ายคลึงกันคือ
1.       ตัวกล้อง (Body) ทำ หน้าที่เป็นห้องมืด ป้องกันแสงภายนอกเข้าไปถูกฟิล์มที่บรรจุอยู่ภายในและเป็นที่ยึดส่วนประกอบ ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยในการถ่ายรูป

                                                                                                                                             ภาพแสดงกล้อง 35 มม. สะท้อนเลนส์เดี่ย
2.       เลนส์ (Lens) ทำ หน้าที่รับแสงสะท้อนจากวัตถุ ส่งไปยังฟิล์มที่บรรจุอยู่ในตัวกล้องฟิล์มจะบึนทึกภาพเอาไว้ กล้องบางชนิดสามารถถอด เปลี่ยนเลนส์ได้ตามความต้องการ เช่น กล้องประเภท SLR (Single len Reflex) หรือเรียกว่ากล้องสะท้อนเลนส์เดี่ยว เลนส์จะผนึกอยู่ข้างหน้าตัวกล้อง ซึ่งมีขนาด ความยาวโฟกัสแตกต่างกัน เช่น 50 มม . 35 มม . 105 มม . เป็นต้น  
                                          ภาพแสดงเลนส์ถ่ายภาพ
ชนิดของเลนส์
นักประดิษฐ์เลนส์ถ่ายภาพพยายามพัฒนา  และออกแบบเลนส์ให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท  โดยจำแนกประเภทของเลนส์ตามความยาวโฟกัส (Focal length)  เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสแตกต่างกันจะให้ผลในการถ่ายภาพแตกต่างกันออกไป  โดยมีเลนส์ขนาดหนึ่งใช้เป็นเลนส์ประจำกล้องเพื่อถ่ายภาพธรรมดาทั่วไป  ซึ่งมีองศาในการรับภาพใกล้เคียงกับสายตาของมนุษย์ในการมองทั่วไป  และมีเลนส์ขนาดอื่นแตกต่างกันออกไป อีกทั้งชนิดที่มีองศารับภาพกว้างเหมาะสำหรับถ่ายภาพภูมิทัศน์ (Landscape)  และเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสแคบแต่สามารถถ่ายภาพในระยะไกลได้  นอกจากนี้ยังมีเลนส์ชนิดพิเศษ  สามารถอำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพให้ได้ลักษณะตามต้องการ  โดยจำแนกชนิดของเลนส์  ดังนี้
2.1.เลนส์มาตรฐาน (Normal lens หรือ Standard lens)
เป็นเลนส์ประจำกล้อง  ซึ่งเมื่อซื้อกล้องถ่ายภาพจะมีเลนส์ชนิดนี้ติดมาด้วย  เป็นเลนส์ที่ใช้ง่าย  มีความยาวโฟกัสระหว่าง 40-58 มม.  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 50 มม. (โดยวัดจากกึ่งกลางเลนส์ถึงฟิล์ม)  เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนรู้ในเรื่องการถ่ายภาพ  เป็นเลนส์ที่มีองศาในการรับภาพกว้างประมาณ 47 องศาซึ่งใกล้เคียงกับสายตาของมนุษย์
เลนส์มาตรฐาน  เหมาะสำหรับถ่ายภาพทั่วไป
2.2.เลนส์มุมกว้าง (Wide-angle lens)
เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสสั้นกว่าเลนส์มาตรฐาน  และรับภาพได้มุมกว้างกว่า  เหมาะสำหรับถ่ายภาพในสถานที่แคบหรือระยะห่างระหว่างกล้องถ่ายภาพกับวัตถุที่จะถ่ายอยู่ใกล้กันแต่ต้องการเก็บภาพเป็นบริเวณกว้าง  ซึ่งเลนส์ชนิดอื่นเก็บภาพได้ไม่หมด  เหมาะสำหรับถ่ายภาพภูมิทัศน์ (Land scape)หรือภาพในลักษณะอื่นๆ  เลนส์ชนิดนี้มีความชัดลึกสูงมาก  คือแสดงให้เห็นระ-ยะชัดตั้งแต่ใกล้สุดถึงไกลสุดได้ดี  แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องของสัดส่วนระยะ (Perspective) ต่างๆ  จะเกิดการผิดเพี้ยน (Distortion)  ถ้าความยาวโฟกัสยิ่งสั้นมากยิ่งผิดเพี้ยนมากขึ้น  คือ  ภาพจะมีความโค้งเป็นรัศมีวงกลมเลนส์มุมกว้าง  แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
2.2.1 เลนส์มุมกว้างธรรมดา (Moderate Wide-angle lens) มีความยาวโฟกัสระหว่าง 28-35 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพระหว่าง 74-62 องศา
2.2.2 เลนส์มุมกว้างมาก (Ultra Wide-angle lens)  มีความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 13 -24 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพ 118-84 องศา
ภาพเลนส์มุมกว้างมาก (Ultra Wide-angle lens) ขนาด 24 มม.
2.2.3 เลนส์มุมกว้างพิเศษหรือเลนส์ตาปลา (Fisheye lens)  มีความยาวโฟกัสน้อยมาก  คืออยู่ระหว่าง 6 - 16 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพ 180-360 องศา  ภาพที่ได้จะมีลักษณะโค้งกลม  นิยมใช้สำหรับการถ่ายภาพในลักษณะสร้างสรรค์ และแปลกตา
เลนส์มุมกว้างพิเศษ หรือเลนส์ตาปลา (Fisheye lens)
2.3. เลนส์ถ่ายภาพไกล (Telephoto lens)
เลนส์ชนิดนี้มีคุณสมบัติตรงข้ามกับเลนส์มุมกว้าง  คือ  มีความยาวโฟกัสยาวกว่าเลนส์มาตรฐานและเลนส์มุมกว้าง  มีมุมรับภาพแคบเฉพาะส่วนหนึ่งเท่านั้น  เมื่อรับภาพในระยะและตำแหน่งเดียวกัน  จะทำให้ภาพที่บันทึกได้มีขนาดใหญ่กว่าการใช้เลนส์ธรรมดาและเลนส์มุมกว้าง
เลนส์ถ่ายภาพไกลมีขนาดความยาวโฟกัสแตกต่างกันหลายขนาด  จาก 70 มม. ถึง 2,000 มม.  มีมุมองศาการรับภาพตั้งแต่ 34-3 องศา  เพื่อใช้ประโยชน์ต่างกัน  ซึ่งพอจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามความยาวโฟกัสได้ดังนี้
2.3.1 เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงสั้น (Short Telephoto lens)  มีความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 70-135 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพกว้างประมาณ 34-18 องศา  เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทั่วๆ ไป  เช่น  ภาพบุคคล  ภาพภูมิทัศน์  ภาพถ่ายระยะใกล้  เป็นต้น
เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงสั้น (Short Telephoto lens) ขนาด 135 มม
2.3.2 เลนส์ถ่ายภาพไกลปานกลาง (Medium Telephoto lens)  มีขนาดความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 150-300 มม.  มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 18-8 องศา  เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ไม่สามารถเข้าใกล้วัตถุที่จะถ่ายได้  เช่น  สัตว์ในกรง  วัตถุที่อยู่ที่สูงพอสมควร  เป็นต้น
เลนส์ถ่ายภาพไกลปานกลาง (Medium Telephoto lens) ขนาด 300 มม.
2.3.3 เลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล (Long Telephoto lens)  มีความยาวโฟกัสระหว่าง 400-600 มม.  มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 6-4 องศา  เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่อยู่ไกล  เช่น  นกบนต้นไม้ การแข่งขันกีฬา  เป็นต้น
เลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล (Long Telephoto lens) ขนาด 600 มม.
2.3.4 เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงพิเศษ (Super Long Telephoto lens)  มีความยาวโฟกัสระหว่าง 800-2,000 มม.  มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 3-1 องศาเท่านั้น  สำหรับภาพที่ต้องการกำลังขยายมาก เช่น  ภาพถ่ายทางดาราศาสตร์  ภาพถ่ายบนตึกสูง  เป็นต้น  เลนส์พวกนี้จะน้ำหนักมากเป็นพิเศษ  ควรใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ
เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงพิเศษ (Super Long Telephoto lens) ขนาด 1,000 มม.
2.4. เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens)
เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens) หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า เลนส์ซูม  เลนส์ชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากเพราะใช้สะดวก  มีเลนส์รวมกันอยู่หลายชนิดในตัวเดียว  สามารถเปลี่ยนทางยาวโฟกัสได้ในตัวด้วยการเลื่อนกระ-บอกเลนส์ (สำหรับเลนส์แบบวงแหวนเดียว)  หรือการหมุนวงแหวนปรับระยะ  (สำหรับเลนส์แบบสองวงแหวน)  ไม่ต้องคอยเปลี่ยนเลนส์บ่อยๆ  เหมือนกับเลนส์ชนิดความยาวโฟกัสคงที่  แต่เนื่องจากเลนส์ชนิดนี้มีชิ้นเลนส์มาก  จึงทำให้ความคมชัดลดลงเล็กน้อย  จึงไม่เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการขยายใหญ่มากๆ  แต่ก็เป็นเลนส์ที่มีผู้นิยมใช้กันมากตามเหตุผลที่ได้กล่าวมา  เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะหรือเลนส์ซูมนี้มีหลายขนาดให้เลือกใช้  โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภท  คือ
2.4.1 เลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง (Wide angle Zoom)  มีช่วงขนาดความยาวโฟกัสสั้น  รับภาพได้มุมกว้าง  เช่นขนาด 20 -35 มม. 24-35 มม. 24-50 มม.  เหมาะสำหรับการใช้งานในการถ่ายภาพมุมกว้าง
ภาพเลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง (Wide angle Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 20-35 มม
2.4.2 เลนส์ซูมช่วงสั้น (Short Zoom)  เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสตั้งแต่ขนาดสั้นถึงปานกลาง  โดยจะมีเลนส์ขนาดมาตรฐานรวมอยู่ด้วย  เป็นเลนส์ซูมที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด  ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับเลนส์ซูมขนาดอื่นๆ กล้องถ่ายภาพของบางบริษัทจะใช้เลนส์ซูมประเภทนี้แทนเลนส์มาตรฐาน  มีช่วงความยาวโฟกัสที่นิยมใช้  คือ  ขนาด 35-70 มม.  35-105 มม.  35-135 มม.  เป็นต้น
เลนส์ซูมช่วงสั้น (Short Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 35-70 มม.
2.4.3 เลนส์ซูมช่วงไกล (Telephoto Zoom)  เป็นเลนส์ซูมที่มีความยาวโฟกัสสูงกว่าเลนส์สองประเภทที่ได้กล่าวมา  โดยมีขนาดที่นิยมใช้  คือ 80-200 มม.  100-300 มม.  สำหรับใช้งานแทนเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล เลนส์ประเภทนี้จะมีน้ำหนักมาก  ผู้ใช้ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญในการใช้ เพราะอาจทำให้กล้องสั่นไหวได้ง่าย
เลนส์ซูมช่วงไกล (Telephoto Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 80-200 มม.
2.4.4 เลนส์ซูมช่วงไกลพิเศษ (Super Telephoto Zoom)  เป็นเลนส์ซูมที่มีช่วงความยาวโฟกัสสูงมาก  เหมาะสำหรับผู้ที่ถ่ายภาพเฉพาะด้าน เช่น  ช่างภาพที่ถ่ายภาพกีฬาบางประเภท  นักถ่ายภาพสารคดี  หรือนักถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ก็นิยมใช้เลนส์ประเภทนี้  เลนส์ซูมประเภทนี้มีขนาดช่วงความยาวโฟกัสที่นิยมใช้  คือ  80-400 มม. 400-800 มม. 360-1200 มม. เป็นต้น
เลนส์ซูมช่วงไกลพิเศษ (Super Telephoto Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 80-400 มม.
นอกจากเลนส์ซูมทั้ง 4 ประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว  บางบริษัทยังได้ผลิตเลนส์ซูมประเภทอื่นๆ อีก  เช่น  มาโครซูม (Macro Zoom) สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้  หรือเลนส์ซูมที่เป็นเลนส์รวมตั้งแต่เลนส์มุมกว้างถึงเลนส์ถ่ยภาพระยะไกลปานกลาง  เช่น  ขนาดความยาวโฟกัส 28-20 มม. 35-200 มม.  ดังนั้น  การเลือกใช้เลนส์ชนิดนี้จึงควรคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งาน  และสะดวกเป็นสำคัญ  เพราะเลนส์ที่มีช่วงความยาวโฟกัสห่างกันมากเท่าใด  ก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น  และราคาก็จะสูงขึ้นไปด้วย
2.5 เลนส์ภาพถ่ายใกล้ (Macro lens)
เลนส์ถ่ายภาพใกล้หรือที่เรียกว่ามาโครเลนส์  เป็นเลนส์ชนิดที่สามารถถ่ายภาพในระยะใกล้ๆ ได้มากเป็นพิเศษ  ให้อัตราขยายของภาพได้ดีกว่าเลนส์ชนิดอื่นๆ  เหมาะสำหรับถ่ายภาพวัตถุที่มีขนาดเล็ก  เช่น  แมลง  ดอกไม้ เครื่องประดับ  หรือวัตถุอื่นๆ ที่ต้องการความคมชัดและให้เห็นรายละเอียดมาก  ซึ่งเลนส์ชนิดอื่นทำไม่ได้  และยังสามารถใช้ถ่ายภาพทั่วๆ ไปได้เช่นเดียวกับเลนส์ชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดความยาวโฟกัสเท่ากัน
เลนส์มาโครมีขนาดความยาวโฟกัสหลายขนาด  ที่ใช้ทั่วไปมีตั้งแต่ 50มม. 55 มม. 85 มม. 105 มม.  โดยมีอัตราขยายของภาพมีอัตราส่วน  คือ 1:2 (ขนาดภาพที่ปรากฏบนฟิล์มจะมีขนาดครึ่งเท่าของวัตถุ)  หรือ 1:1 (ขนาดภาพที่ปรากฏบนฟิล์มจะมีขนาดกันกับวัตถุ)
เลนส์มาโคร ขนาด 55 มม.

ภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์มาโคร
จากเลนส์ทั้ง 5 ชนิดที่ได้กล่าวมา  เป็นเลนส์ที่นิยมใช้กันทั่วไป  อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเลนส์ให้มีความทันสมัย  และมีความสะดวกขึ้น  เช่น  มีการปรับระยะชัดแบบอัตโนมัติ (Auto focus)  การปรับเพิ่ม-ลดรูรับแสงอัตโนมัติ  การนำเอาระบบสะท้อนด้วยกระจกมาใช้เพื่อลดความยาวของเลนส์ถ่ายภาพระยะไกลที่มีความยาวโฟกัสสูงๆ ให้มีขนาดสั้นลง  หรือเลนส์มุมกว้างที่มีการแก้ระนาบภาพเอียง
  ภาพถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง 24 มม.

              ภาพถ่ายด้วยเลนส์มาตรฐาน 50 มม.
      ภาพถ่ายด้วยเลนส์ถ่ายระยะไกล 135 มม.

ภาพถ่ายด้วยเลนส์ถ่ายระยะไกล 200 มม.
ความไวแสงของเลนส์ (Lens Speed)
ความไวแสงของเลนส์  หมายถึง  ขนาดความกว้างของรูรับแสงเมื่อเปิดรูรับแสงกว้างที่สุด  เลนส์ที่สามารถเปิดรูรับแสงได้กว้างกว่า  แสดงว่าเลนส์ตัวนั้นมีความไวแสงมากกว่า  ซึ่งจะมีข้อได้เปรียบในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย  และสามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ได้เร็วกว่าเลนส์ที่มีความไวแสงน้อย แต่เลนส์ยิ่งมีค่าความไวแสงมาก  ราคาของเลนส์ก็จะสูงขึ้นไปด้วย  ดังนั้นจึงควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็นและงบประมาณที่มี
ความกว้างของรูรับแสงจะมีตัวเลขบอกค่าไว้ที่กระบอกเลนส์  เรียกว่า เอฟ/สต็อป (f/stop) หรือ เอฟ/นัมเบอร์ (f/number) ซึ่งมีค่ากำหนดไว้  เช่น 1.2  1.4  4  5.6  8  11  22  ตัวเลขยิ่งมากเท่าใดรูรับแสงยิ่งแคบลง
ภาพแสดงความกว้างของรูรับแสงและค่า เอฟ/สต็อป ของเลนส์ถ่ายภาพ
นอกจากนี้  ผู้ศึกษาการถ่ายภาพควรศึกษาอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น  ไฟแฟลช  แว่นกรองแสง  ฟิล์ม  ขาตั้งกล้อง  เพื่อให้เข้าใจและพัฒนาทักษะในการถ่ายภาพต่อไป

         3. ช่องมองภาพ (View Finder) ปกติ ช่องมองภาพจะอยู่ด้านหลังของตัวกล้องเป็นจอมองภาพ เพื่อช่วยในการประกอบ และจัดองค์ประกอบของภาพ ให้มีความสวยงามตามหลักของศิลปะการถ่ายรูป
         4. ชัตเตอร์ (Shutter) ทำหน้าที่ควบคุมเวลาฉายแสง (Exposure Time) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไวของชัดเตอร์ (Shutter Speed)
         5. แผ่นไดอะแฟรม (Diaphram) ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณความเข้มของการส่องสว่างของแสงที่ตกลงบนแผ่นฟิล์ม มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ หลาย ๆ แผ่นซ้อนเหลี่ยมกันอยู่
         6. รูรับแสง (Aperture) เป็น รูเปิดของแผ่นไดอะแฟรมให้มีขนาดต่าง ๆ ตามต้องการ เช่น เมื่อต้องการให้แสงเข้ามากก็เปิดรูรับแสงให้มีขนาดใหญ่ และทางตรงกันข้าม ถ้าต้องการปริมาณแสงเข้าไปถูกฟิล์มน้อยก็เปิดรูให้เล็กลง การเปิดขนาดของรูรับแสงแตกต่างกันนี้มีตัวเลขกำหนดเอาไว้ ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นวงแหวน ติดอยู่ที่ตัวเลนส์เรียกตัวเลขต่าง ๆ ว่าเอฟสตอป (F-Stop) หรือ เอฟนัมเบอร์ (F-Number) นอก จากส่วนประกอบที่สำคัญ ๆ ของกล้องถ่ายรูปดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้ควรจะศึกษาปุ่มปรับและควบคุมต่าง ๆ ที่อยู่บนกล้องถ่ายรูป กล้องทั่ว ๆ ไปจะมีปุ่มควบคุมดังนี้คือ
          นอก จากส่วนประกอบที่สำคัญ ๆ ของกล้องถ่ายรูปดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้ควรจะศึกษาปุ่มปรับและควบคุมต่าง ๆ ที่อยู่บนกล้องถ่ายรูป กล้องทั่ว ๆ ไปจะมีปุ่มควบคุมดังนี้คือ






อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับกล้อง
นอก จากส่วนประกอบที่สำคัญ ๆ อันเป็นพื้นฐานของกล้องถ่ายรูปแล้วอาจต้องการใช้อุปกรณ์ อื่น ๆ ประกอบเพื่อให้ การถ่ายรูปมีคุณภาพยิ่ง อุปกรณ์ต่าง ๆ มีดังนี้ คือ

1. เครื่องวัดแสง (Exposure light meter) เป็นเครื่องมือที่ช่วยบอกลักษณะของแสงที่พอเหมาะในการถ่ายรูป แต่ละครั้งเพื่อให้ได้ภาพที่พอดี (Nor-mal) นั่น คือ จะบอกหน้ากล้องหรือขนาดของรูรับแสงที่พอเหมาะ และความเร็ว ชัดเตอร์ที่ควรใช้อันสัมพันธ์กับแสงสอดคล้องกับความมุ่งหมายการถ่ายรูปนั้น ๆ โดยปกติกล้องถ่ายรูประดับปานกลาง ถึงระดับดี จะมีเครื่องวัดแสงนี้ติดมาพร้อมกับกล้องอย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นที่ต้องมีเครื่องวัดแสงเฉพาะสำหรับ งานบางอย่างก็ได้
         2. ขาตั้งกล้อง (Tripod, Camera Supports) เป็น อุปกรณ์ที่จำเป็นในการถ่ายรูปที่ต้องใช้ความไวช้า ๆ หรือถ่ายรูปกลางคืนเพราะจะทำให้กล้องมั่นคงได้ภาพที่ไม่ไหวปกติขาตั้งกล้อง มีลักษณะ 3 ขา (Tripod) ในบางครั้งอาจใช้ขาเดียว Monopod) รับน้ำหนักก็ได้ หรือมีลักษณะเป็นแท่นรองรับก็สุดแล้วแต่จุดมุ่งหมาย
         3. แว่นกรองแสง (Filters) เป็น อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกับเลนส์เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามแตกต่างไปจากภาพปกติ ในการถ่ายรูปสีแว่นกรองแสงจะช่วยควบคุมแสง แก้ไขสีเพิ่มสีและทำภาพพิเศษอื่น ๆ ได้ตามความต้องการในบางชนิด เช่น สกายไลท์ (Skylight) ช่วย ป้องกันเลนส์ไม่ให้สกปรกหรือเกิดรอยขีดข่วนได้สำหรับการถ่ายรูปขาวดำ ฟิลเตอร์หรือ แว่นกรองแสงก็จะช่วยในการเน้นจุดสนใจของภาพให้ดียิ่งดีขึ้นซึ่งปกติฟิลเตอร์ ที่ใช้กับงานถ่ายรูปขาวมีนิยมอยู่
5 สีด้วยกัน คือ สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว
         4. สายลั่นไก (Shutter Release Cable) เป็น อุปกรณ์ที่ใช้ต่อเข้ากับปุ่มลั่นไกช่วยลั่นไกชัดเตอร์ โดยให้กล้องรับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุดในกรณีที่ตั้งความไวชัดเตอร์ต่ำ ๆ ปกตินิยมใช้กับการถ่ายรูป วัตถุเล็ก ๆ หรืองานก้อบปี้ ตลอดจนการถ่ายรูปกลางคืน (Night Picture) เมื่อจำเป็นต้องใช้ความไวชัดเตอร์ต่ำ ๆ สายลั่นไก มีความยาวหลายขนาด และบางชนิดอาจมีล็อกเพื่อให้การเปิดหน้ากล้องนาน ๆ ตามต้องการได้

         5. ไฟแฟลชอิเลคโทรนิค (Electronic Flash) เป็น อุปกรณ์ที่เป็นแหล่งของแสงสว่างเพื่อช่วยถ่ายรูป เมื่อแสงไม่พอ เช่น ถ่ายรูปในเวลากลางคืนหรือในห้องที่ไม่ค่อยมีแสงสว่าง นอกจากนั้นอาจใช้ไฟแวบนี้ ช่วยลดเงาเมื่อถ่ายภายในแสงหลักที่สว่างมาก ๆ นอกจากนั้นอาจใช้แหล่งแสงสว่างอื่น ๆ แทนไฟแวบได้ เช่น ไฟส่อง (Flood) แบบที่ใช้ในห้องถ่ายรูป หรือพวกไฟที่ใช้กับโทรทัศน์ภาพยนตร์ที่เรียกว่าซันกัน (Sun Gun) ก็ได้
        6. เลนส์ ฮูด (Lense Hood) เป็น อุปกรณ์ ที่ไม่มีแก้วเหมือนเลนส์ชนิดอื่น ๆ แต่เป็นเพียงกรอบ หรือขอบเพื่อสวมเข้าหน้าเลนส์ เพื่อกันการสะท้อนของแสง หรือแสงส่องเฉียงที่ไม่ต้องการมากระทบผิวหน้าเลนส์ เลนส์ฮูดอาจทำด้วยโลหะ หรือยางมีขนาดแตกต่างกันตามความยาวโฟกัสของเลนส์และรัศมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ของเลนส์ที่ใช้

        7. กระเป๋ากล้อง ( Case) เป็น อุปกรณ์ที่ควรจะสวมใส่กล้องไว้ตลอดเพราะป้องกันการขูดขีดของตัวกล้อง และเลนส์เป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นป้องกันการ กระทบกระเทืยนได้อีกด้วยกระเป๋ากล้องอาจเป็นหนังชนิดแข็งหรืออ่อนก็ได้

        8. เครื่องขับเคลื่อนฟิล์มโดยอัตโนมัติ (Motor Drive,Autowinder) อุปกรณ์ ชิ้นนี้อาจไม่จำเป็นในการถ่ายรูปปกติ เพราะมีเวลาในการเลื่อนฟิล์มด้วยตนเอง แต่สำหรับงานอาชีพที่ต้องการบันทึกภาพติดต่อกันในเวลาสั้น ๆ ถ้ามัวเคลื่อนฟิล์มอยู่อาจพลาดภาพนั้น ๆ ได้ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์ที่เลื่อนฟิล์มโดยอัตโนมัตินี้ โดยผู้ใช้เพียงกดปุ่มถ่ายภาพ ฟิล์มจะเลื่อนโดยอัตโนมัติ บางชนิดจะเลื่อนวินาทีละ 5 ภาพหรือบางชนิดอาจต่ำกว่านั้น
         9. กระเป๋าเก็บกล้อง และอุปกรณ์อื่น ๆ (Baggage) เป็น กระเป๋าเอนกประสงค์ที่สามารถบรรจุกล้องและอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ นำไปใช้ถ่ายรูปได้ นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันการกระแทกได้เป็นอย่างดี และสามารถเก็บกล้อง และรักษาฟิล์มได้ด้วย กระเป๋าบางชนิดอาจทำเป็นกล่องอะลูมิเนียมบุด้วยฟองน้ำกันการกระเทือน บางชนิดทำด้วยผ้าร่มสักหลาดหรือผ้าใบ และบางชนิดสามารถป้องกันน้ำเข้าไปในกระเป๋าได้





การใช้และการเก็บรักษากล้องถ่ายรูป

เนื่อง จากกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ มีราคาแพง และค่อนข้างบอบบาง ดังนั้นย่อมต้องการการระมัดระวังบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
      
  1. การจับถือกล้องถ่ายรูป ควรปฏิบัติดังนี้ คือ

                1.1 ใช้สายสะพายกล้องคล้องคอเสมอ เพื่อป้องกันการตกหล่น กระทบกระแทก อันอาจทำให้เกิดการชำรุดเสียหายได้
                1.2 ใช้ มือซ้ายรับน้ำหนักตัวกล้องในขณะถ่ายรูป ให้ฐานกล้องอยู่บนอุ้มมือนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้มือข้างซ้ายใช้สำหรับแต่งความคมชัด และรูปรับ รับแสงที่ต้องการ
                1.3 ใช้ มือขวาจับตัวกล้องด้านขวามือ หัวแม่มือใช้ในการเลื่อนฟิล์มขึ้นชัดเตอร์ และนิ้วชี้กดลั่นไก นอกจากนั้นนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ยังใช้ปรับเปลี่ยน ความเร็วชัดเตอร์บนตัวกล้อง
                1.4 ทิ้งน้ำหนักตัวให้อยู่ระหว่างเท้าทั้งสอง โดยแยกเท้าให้ห่างกันเล็กน้อย เพื่อเป็นหลักอันมั่นคงในการทรงตัว
                1.5 แขนทั้งสองแขนแนบชิดลำตัว แต่ไม่เกร็งทั้งนี้เพื่อให้กล้องนิ่งมือไม่สั่น เพราะถ้ามือสั่นแล้วภาพที่ได้จะไหว
                1.6 ใน บางกรณีอาจต้องการยืนพิงผนัง ต้นไม้ รั้ว เป็นต้น เพื่อให้ได้ภาพสวยงาม โดยเฉพาะในเวลาถ่ายรูปที่แสงไม่พอ จำเป็นต้องใช้ความเร็วชัดเตอร์ต่ำ ๆ ตั้งแต่ 1/30 ลงมา การจับถือกล้องให้นิ่งทำได้ลำบาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคดังกล่าว และใช้สายลั่นไกแทนการกดที่ปุ่มลั่นไกก็ได้
                1.7 ใน ขณะกดชัดเตอร์ถ่ายรูปกลั้นหายใจไว้ชั่วครู่ จนกว่าการถ่ายรูปจะเสร็จสิ้นควรระลึกเสมอว่า ปุ่มกดชัดเตอร์จะทำงาน เมื่อถูกกดลงไปประมาณ 2 ใน 3 และถ้าต้องการให้กล้องนิ่งมั่นคงยิ่งขึ้นอาจใช้สายกล้องคล้องคอ แล้วพันที่มือขวาอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยในการยึดกล้องได้ดีมาก







 2. การเก็บรักษากล้องและอุปกรณ์ควรปฏิบัติดังนี้ คือ

                2.1 ใช้กล้องอย่างระมัดระวัง การปรับเปลี่ยนปุ่มความไวแสงและขนาดรูรับแสงต้องทำอย่างช้า ๆ เพราะกล้อง อาจชำรุดเสียหายถ้ากลไกต่าง ๆ ไม่เข้าที
                2.2 ปิดสวิทส์เครื่องวัดแสงทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน
                2.3 ไม่วาง หรือเก็บกล้องในที่สั่นสะเทือนเพราะอาจทำให้กล้องเสียหายบุบสลายหรือกลไกบางส่วนไม่ทำงานได้
                2.4 ห้ามใช้น้ำมันหยอดทุกส่วนของกล้อง มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถหยอดน้ำมันได้ ซึ่งควรถอดชิ้นนั้น ๆ มาหยอดน้ำมันข้างนอกแต่ถ้าหากไม่แน่ใจ ไม่ควรหยอดน้ำมันเอง
                2.5 เมื่อเลิกใช้งานต้องปรับวงแหวนความคมชัดของเลนส์ ไว้ที่ระยะไกลสุดขอบฟ้า ที่เรียกว่า ระยะอินพินิติ้ (Infinity)
                2.6 เมื่อเลิกใช้งานต้องปรับรูรับแสงให้มีขนาดโตเต็มที่เช่นเลนส์ที่มีความไว F 1.2 ต้องปรับไว้ที่ F1.2 ทั้งนี้เพื่อลดการทำงานของสปริงบังคับหน้ากล้อง
                2.7 มื่อเลิกใช้งานต้องตั้งความเร็วชัดเตอร์ไว้ที่ B (Brief หรือ Bulb) และไม่ควรขึ้นชัตเตอร์ เอาไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน
                2.8 ศึกษาคู่มือการใช้กล้องให้เข้าใจถ่องแท้
                2.9 ควรเก็บกล้องไว้ในซองหรือกระเป๋ากล้องเสมอ
                2.10 ไม่ควรเก็บกล้องไว้ในที่ ๆ ร้อนจัด เช่น ในรถยนตร์ หรือที่ชื้นเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดราขึ้นได้

                2.11 ควรมียากันชื้นหรือพวกซิลิกอนเจล ติดอยู่ภายในกระเป๋ากล้องเสมอ
                2.12 ไม่ควรเก็บกล้องรวมกับเสื้อผ้า เพราะความชื้นสูงอาจทำให้กล้องและเลนส์เกิดเชื้อราได้ง่าย
                2.13 ระมัดระวังอย่าให้ละอองน้ำ หรือน้ำทะเลสัมผัสกล้อง ควรใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำจืดที่สะอาด ๆ พอหมาด ๆ เช็ดตัวกล้องทันที และถ้าถูกเลนส์ต้องใช้
น้ำยาเช็ดเลนส์ และกระดาษเช็ดเลนส์ทำความสะอาดทันทีเช่นกัน
                2.14 การเก็บกล้องไว้นาน ๆ โดยไม่ได้ใช้ต้องนำออกตรวจสอบการทำงานอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยปฏิบัติเหมือนการถ่ายรูปปกติ หรืออาจจะนำมา
เพียงขึ้นชัดเตอร์ และกดลั่นไกเพื่อให้ระบบการทำงาน ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ ๆ
                2.15 ถ้ากล้องเกิดการชำรุดขัดข้องอย่าซ่อม ด้วยตนเองถ้าท่านไม่รู้วิธีการซ่อมอย่างจริงจัง ควรจัดส่งให้ช่างผู้ชำนาญงานได้ ตรวจซ่อมให้ และโปรดระลึก
เสมอว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

สติกเกอร์ป้องกันพื้นผิวของตัวกล้อง
โดย ทั่วไปกล้องหลาย ๆ รุ่น เมื่อซื้อมาตัวกล้องมักจะมีสติกเกอร์ต่าง ๆ ติดมาที่ตัวกล้อง ไม่ว่าจะเป็นสติกเกอร์สำหรับโฆษณาฟังก์ชั่นต่าง ๆ หรือสติกเกอร์สำหรับการตรวจสอบคุณภาพของตัวกล้องก่อนออกจากโรงงาน ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะปล่อยทิ้งไว้บนตัวกล้อง เพื่อความสวยงาน หรือเข้าใจว่าเป็นการป้องกันพื้นผิวของตัวกล้อง แต่ความเป็นจริงสติกเกอร์เหล่านั้นมักจะป้องกันพื้นผิวของตัวกล้องได้แค่ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากการใช้งาน หรือความชื้นของการจับถือ และเนื่องจากการติดสติกเกอร์เหล่านี้จะไม่ได้ทำทั้งตัวกล้อง ทำให้เมื่อสติกเกอร์เหล่านี้หลุดลอกออกมา กล้องของคุณจะกลายสภาพสีเป็นกล้องทูโทนในทันที ทางเลือกที่ดีคือควรแกะสติกเกอร์เหล่านั้นออกเหมือนคุณได้กล้องถ่ายภาพมา หากต้องการถนอมพื้นผิวของตัวกล้อง คุณสามารถซื้อสติกเกอร์ใสที่สามารถลอกออกได้โดยไม่ทิ้งคราบ มาตัดและติดให้ทั่วทั้งตัวกล้องของคุณ โดยเว้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหว หรือปุ่มต่าง ๆ จุดที่ควรจะติดสติกเกอร์ใสเพื่อป้องกันอีกจุดหนึ่งคือบริเวณที่พิมพ์หมาย เลขระบุตัวกล้อง เนื่องจากกล้องหลายรุ่นจะใช้วิธีการพิมพ์ตัวเลขลงบนแผ่นสติกเกอร์ พรือตัวกล้อง แทนที่จะใช้วิธีการตอก หรือยิงเลเซอร์ที่ให้ความคงทนมากกว่า เมื่อใช้กล้องถ่ายภาพไปนาน ๆ ตัวเลขเหล่านี้อาจจะลอกสูญหายไปได้ ซึ่งจะทำให้การนำกล้องถ่ายภาพของคุณเข้าศูนย์มีความยุ่งยากขึ้นมาได้ เนื่องจากไม่สามารถยืนยันตัวกล้องว่าตรงกับใบรับประกัน
ทำความสะอาดตัวกล้อง และพื้นผิว 
การทำความสะอาดพื้นผิว และตัวกล้องสามารถทำได้โดยการใช้แปรงทำความสะอาดปัดไปตามซอกมุมต่าง ๆ ของตัวกล้อง ใช้ลูกยางเป่าลมเป่าไล่ตามจุดต่าง ๆ จากนั้นใช้ผ้านุ่น ๆ ซึ่งอาจเป็นผ้า Cotton หรือผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดทำ ความสะอาดด้วยการขัดถูเบา ๆ หากมีคราบมัน หรือคราบรอยเปื้อนบนตัวกล้อง สามารถใช้น้ำยาเช็ดกระจกผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 40% ต่อน้ำสะอาด 60% เช็ด เบา ๆ เพื่อเช็ดคราบต่าง ๆ รวมถึงรอยคราบกาว หรือสติกเกอร์ที่ติดอยู่ หากใช้สเปรย์กระป๋องอัดอากาศในการเป่าทำความสะอาด ไม่ควรจ่อปลายท่อใกล้กับตัวกล้องเกินไป รักษาระยะหากจากปลายท่อถึงตัวกล้องประมาณ 4-5 นิ้ว ไม่ควรเป่าไปที่ชิ้นส่วนที่เป็นกระจกหรือเลนส์ในระยะใกล้ เนื่องจากแรงลมอาจทำให้ชิ้นส่วนที่ละเอียดอ่อนเสียหายรวมถึงอากาศที่ออกมา จากกระป๋องจะมีความเย็นเนื่องจากแรงดัน อาจทำให้เกิดฝ้า และความชื้นเข้าไปในตัวกล้อง

การทำความสะอาดเลนส์
ตัวเลนส์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้กล้องถ่ายภาพทุกคน ระมัดระวังมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ในตลาดจึงมีสารพัดอุปกรณ์ตั้งแต่เป็นของแถม ชุดทำความสะอาดราคาไม่กี่บาท จนถึงอุปกรณ์ทำความสะอาด หรือน้ำยาราคาแพงสำหรับทำความสะอาดหน้าเลนส์ 
อุปกรณ์ ทำความสะอาดหน้าเลนส์อย่างแรกที่หลาย ๆ คนนึกถึงคือ ผ้าหรือกระดาษเช็ดเลนส์ และมักมีคำถามว่าใช้อะไรดีกว่ากันในการทำความสะอาด ผ้าเช็ดเลนส์จะมีข้อดีที่อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และสามารถทำความสะอาดคราบมัน หรือคราบรอยนิ้วมือได้ดีกว่า ในขณะที่กระดาษจะไม่มีการเก็บสะสมฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเหมือนผ้าเนื่องจากเป็น การใช้แล้วทิ้ง แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพของกระดาษเช็ดเลนส์ เพราะเส้นใยของกระดาษเองสามารถที่จะกัดกร่อนสารเคลือบผิวเลนส์ หรือตัวเลนส์ได้เหมือนกัน ก่อนการเช็ดทำความสะอาดหน้าเลนส์ควรใช้ลูกยางเป่าลม หรือแปรงสำหรับทำความสะอาดเลนส์ เป่าหรือปัดที่หน้าเลนส์ให้ฝุ่น หรือสิ่งสกปรกชิ้นใหญ่ ๆ หลุดออกไปก่อนที่จะทำการเช็ดเลนส์ เพื่อป้องกันฝุ่นเหล่านี้ไปขูดที่หน้าเลนส์ขณะเช็ดทำความสะอาด
น้ำยา เช็ดเลนส์เป็นสิ่งที่มักนิยมใช้ควบคู่กับการเช็ดทำความสะอาดเลนส์ ตัวน้ำยาทำความสะอาดที่วางจำหน่ายก็มีหลากหลายยี่ห้อ และราคา การเลือกซื้อน้ำยาควรพิจารณาส่วนผสม และคุณสมบัติของน้ำยามากกว่าราคา น้ำยาที่มีคุณภาพต่ำมักจะทิ้งคราบบนตัวเลนส์ หรือมักจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจลองตรวจสอบได้จากการดมกลิ่น ปริมาณแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่ไม่มากไปนักจะช่วยให้น้ำยาระเหยเร็วขึ้น ลดการทิ้งคราบน้ำยาบนชิ้นเลนส์ แต่ปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปก็อาจจะกัดกร่อนทำอันตรายกับสารเคลือบผิว เลนส์ หรือชิ้นเลนส์ได้
การทำความสะอาดหน้าเลนส์ของกล้องคอมแพคอาจทำได้ลำบากกว่าหน้าเลนส์ของกล้อง SLR เนื่อง จากขนาดของเลนส์ที่เล็กกว่า ตัวเลนส์สามารถยืดหดได้ และมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างจะเปราะบาง รวมถึงในหลาย ๆ รุ่นจะมีแผ่นปิดหน้าเลนส์เลื่อนมาปิดขณะปิดหน้ากล้อง ซึ่งเป็นข้อดีในการป้องกันหน้าเลนส์ แต่ก็เป็นอุปสรรคในการทำความสะอาดหน้าเลนส์เช่นกัน เนื่องจากต้องเปิดให้ตัวกล้องทำงานขณะทำความสะอาดชิ้นเลนส์ ในขณะที่กล้องทำงานชิ้นเลนส์ต่าง ๆ ภายในเลนส์จะจัดในตำแหน่งที่ได้ออกแบบไว้โดยมีชุดเกียร์เล็ก ๆ ภายในเป็นตัวขับชิ้นเลนส์ให้เข้าระยะโฟกัส หรือซูมเข้าออก การทำความสะอาดหน้าเลนส์ขณะที่กล้องกำลังทำงานจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่าง ยิ่งที่จะไม่ทำให้ชิ้นเลนส์ หรือเกียร์เหล่านี้ผิดตำแหน่งไปจากเดิม การลงน้ำหนักในการเช็ดควรทำอย่างเบามือและระมัดระวัง เทคนิคหนึ่งสำหรับกล้องที่จำเป็นต้องเปิดกล้องขณะทำความสะอาดคือ เมื่อเลนส์ยืดออกมาในตำแหน่งพร้อมทำงาน ให้นำแบตเตอรี่ของตัวกล้องออกโดยยังไม่ต้องปิดกล้อง ซึ่งจะทำให้เลนส์ค้างอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีแผ่นกันหน้าเลนส์มาปิด เนื่องจากการทำความสะอาดในบางครั้งอาจใช้เวลาพอสมควร ซึ่งตัวกล้องอาจปิดตัวเองโดยอัตโนมัติและดึงเลนส์กลับเข้าไปในตัวกล้อง 
สิ่ง ที่ควรระลึกไว้เสมอขณะทำการเช็ดหน้าเลนส์คือ ชิ้นเลนส์เป็นชิ้นส่วนที่เปราะบ้างมาก ๆ และสามารถแตก หรือเป็นรอยได้ โดยเฉพาะกับเลนส์กล้องดิจิตอลคอมแพค อย่าเช็ดหรือขัดหน้าเลนส์แรงเกินไป และการกดน้ำหนักที่ส่วนหนึ่งส่วนใด เช่น ด้านข้างของเลนส์ อาจทำความเสียหายกับเลนส์ได้ การเช็คเลนส์ควรทำจากตรงกลางชิ้นเลนส์ วนออกไปเป็นลายก้นหอย ควรเช็ดไปในทิศทางเดียวกัน และเปลี่ยนส่วนที่ใช้เช็ดของผ้าเช็ดเลนส์ หรือเปลี่ยนกระดาษเช็ดเลนส์ใหม่บ่อย ๆ ในส่วนที่ไม่สามารถเช็ดได้ด้วยมือสามารถใช้คอทตอนบัทคุณภาพดี ๆ เช็ดแทนได้ โดยใช้ด้านข้างทำมุมในการเช็ด และหลีกเลี่ยงการเช็ดด้วยปลายด้ามซึ่งอาจทำอันตรายต่อชิ้นเลนส์ หลังจากเช็ดทำความสะอาดแล้วควรใช้ลูกยางเป่าลมเป่าอีกครั้ง เพื่อให้ฝุ่นต่าง ๆ ที่หลงเหลืออยู่หลุดออกไปจากชิ้นเลนส์
ทำความสะอาดช่องมองภาพ
ช่อง มองภาพเป็นส่วนที่ใกล้ตามากที่สุดเมือทำการถ่ายภาพ ฝุ่นชิ้นเล็ก ๆ หรือคราบที่อยู่บนกระจกของช่องมองภาพจึงอาจทำให้รู้สึกรำคาญ ระคายเคือง ทำให้คุณภาพในการมองภาพลดลง หรือเกิดภาพเบลอ การทำความสะอาดช่องมองภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กับการทำความสะอาดหน้า เลนส์ กล้องหลาย ๆ รุ่นอาจยากที่จะทำความสะอาดช่องมองภาพ โดยเฉพาะกล้องดิจิตอลแบบคอมแพคเนื่องจากขนาดของช่องมองภาพที่ค่อนข้างเล็ก อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การทำความสะอาดช่องมองภาพมีความยากลำบากคือ โดยปกติกระจกช่องมองภาพจะอยู่ลึกลงไปในตัวกล้อง หรือมีขอบยางรองช่องมองภาพขั้นอยู่  หาก เป็นกล้องที่นสามารถถอดยางรองช่องมองภาพออกได้ การถอดยางรองนี้ออกก็ทำความสะอาดช่องมองภาพก็จะช่วยให้ขั้นตอนการทำความ สะอาดง่ายขึ้นมาพอสมควร 
การทำความสะอาดกระจกช่องมองภาพสามารถทำได้โดยการใช้น้ำยาสำหรับเช็ดทำความสะอาดเลนส์ หรือใช้น้ำยาเช็ดกระจกผสมน้ำในอัตราส่วน 50:50 ก็ ได้ ในการเช็ดควรใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เช่นเดียวกับการเช็ดหน้าเลนส์ เนื่องจากกระจกช่องมองภาพเป็นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนไม่แพ้ชิ้นเลนส์เลย การทำให้กระจกช่องมองภาพเป็นรอยเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดทุก ครั้งที่ทำการมองผ่านช่องมองภาพเพื่อถ่ายภาพ ในการเช็ดไม่ควรใช้น้ำยาที่มากเกินไป เนื่องจากขนาดพื้นที่ ที่ไม่ใหญ่มากของช่องมองภาพ การใช้น้ำยาเช็ดมากเกินไปอาจทำให้น้ำยาส่วนเกินไหลซึมเข้าไปในตัวกล้อง หลังจากเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อยควรใช้ผ้าเช็ดเลนส์ หรือคอทตอนบัทเช็ดให้แห้งทันที และเป่าด้วยลูกยางเป่าลม
ยางรองช่องมองภาพ และชิ้นส่วนที่เป็นยาง
กล้องถ่ายภาพส่วนมากจะมีชิ้นส่วนที่เป็นยางอยู่หลายชิ้น เช่น บริเวณกริปของตัวกล้อง ยางรองช่องมองภาพ การทำความสะอาดชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถทได้โดยใช้คอทตอนบัทชุบทินเนอร์ แล้วบีบให้แห้งหมาด ๆ จากนั้นเช็ดบนชิ้นส่วนที่เป็นยางเบา ๆ  ให้ทั่ว ควรระวังอย่าใช้ทินเนอร์มากเกินไป  และ การเปื้อนไปโดนชิ้นส่วนอื่นข้างเคียง ซึ่งจะให้ลายที่พิมพ์บนตัวกล้อง หรือพื้นผิวเสียหายจากแอลกอฮอล์ จากนั้นเป่าให้แห้งด้วยลูกยางเป่าลม
LCD screen และหน้าจอแสดงภาพ
ชิ้น ส่วนเดียวของกล้องถ่ายภาพดิจิตอลที่ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในกล้องรุ่นใหม่ ในขณะที่ชิ้นส่วนอื่น ๆ พยามทำให้มีขนาดเล็กลงคือ หน้าจอแสดงภาพ ยิ่งหน้าจอมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการ การดูแลทำความสะอาด และการระมัดระวังที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับกล้อง D-SLR เนื่อง จากเวลาถ่ายภาพจำเป็นตัวเอาตัวกล้องมาแนบกับหน้า เพื่อที่จะมองผ่านช่องมองภาพ ทำให้ตัวกล้องจะสัมผัสกับความมันบนใบหน้า หรือเหงื่อ ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหน้าจอคงเป็นการใช้สติกเกอร์ใสชนิดพิเศษ หรือที่เรียกว่า Screen Protector ปิดทั้งหน้าจอ เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน และง่ายต่อการทำความสะอาด หากหน้าจอแสดงผลติดสติกเกอร์ป้องกันไว้ การทำความสะอาดก็เพียงแต่ใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบมันออก แต่หากหน้าจอแสดงผลไม่ได้มีสติกเกอร์ป้องกัน การทำความสะอาดจะแตกต่างไปตามลักษณะของหน้าจอ โดยทั่วไปหน้าจอแสดงผลของกล้องดิจิตอลจะมาในสองรูปแบบ คือ หน้าจอแสดงผลที่มีกระจก หรือพลาสติกใสปิดไว้ด้านหน้า ซึ่งทำให้ไม่สามารถสัมพัสหน้าจอโดยตรงได้ กับหน้าจอแสดงผลที่ไม่มีกระจก หรือพลาสติกใสปิดไว้เลย การเช็ดทำความสะอาดหน้าจอแสดงผลโดยตรงต้องทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากหน้าจอแสดงผลเหล่านี้สามารถแตกได้หากได้รับแรงกดที่รุนแรง การทำความสะอาดหน้าจอแสดงผลจะใช้วิธีการทำความสะอาดเดียวกับการทำความสะอาด เลนส์ ด้วยการเช็ดเพียงเบา ๆ หรืออาจใช้น้ำยาเช็ดกระจกผสมน้ำ 50:50 แล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หมาด ๆ เช็ด แล้วเช็ดตามด้วยผ้าแห้งทันที
ช่องใส่ Memory card
ช่องใส่ Memory card เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ฝุ่นสามารถเข้าไปอยู่ในตัวกล้อง การทำความสะอาดช่องใส่ Memory card สามารถ ทำได้โดยการใช้ลูกยางเป่าลม เป่าไล่ฝุ่นตามซอกต่าง ๆ หรือใช้สเปรย์อัดอากาศเป่า แต่การใช้สเปรย์ทำความสะอาด สิ่งที่ต้องระวังคือ ไม่ควรสอดปลายท่อเข้าไปในช่องใส่ Memory card และอย่าเป่าใกล้เกินไปนัก เนื่องจากความเย็นของอากาศจากสเปรย์จะทำให้เกิดความชื้นในตัวกล้องถ่ายภาพ จากนั้นใช้แปรงปัดตามซอกอีกครั้ง
ช่องใส่แบตเตอรี่ 
ช่อง ใส่แบตเตอรี่จะมีคอนเทค หรือขั้วสำหรับต่อกับแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะมีคราบขาว ๆ มาเกาะ ทำให้ความสามารถในการนำไฟจากแบตเตอรี่ไปจ่ายให้กับตัวกล้องลดลง การทำความสะอาดขั้วเหล่านี้สามารถทำได้โดยการใช้ยางลบปลายดินสอถูเบา ๆ ที่หน้าสัมผัสของขั้วในตัวกล้อง และหน้าสัมผัสที่ขั้วของแบตเตอรี่ จากนั้นเป่าด้วยลูกยางเป่าลม และใช้แปรงปัดตามซอกต่าง ๆ เพื่อไล่ฝุ่น และเศษของยางลบที่อาจตกค้างอยู่
การทำความสะอาด CCD
ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยของกล้อง D-SLR คือ การที่มีฝุ่นตกลงไปอยู่บนตัว CCD หรือ เซ็นเซอร์รับภาพ ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาจะมีจุดสีดำอยู่บนภาพ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายภาพพื้นที่ ๆ มีความสว่าง เช่น ท้องฟ้า หรือวัตถุสีอ่อน ถึงแม้ผู้ผลิตกล้องจะพยามใส่ระบบป้องกันฝุ่นเข้ามาในกล้องรุ่นใหม่ ๆ แต่ปัญหานี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่ยอมหมดไป หากเป็นกล้อง D-SLR ที่ มีระบบกำจัดฝุ่น การทำความสะอาดสามารถทำได้โดยการสั่งให้ระบบนี้ทำงาน แต่ถ้ากล้องถ่ายภาพของคุณไม่มีระบบนี้ หรือยังมีฝุ่นตกค้างอยู่ กล้อง D-SLR เกือบ ทุกตัวจะมีคำสั่งสำหรับยกกระจกสะท้อนภาพในตัวกล้องค้างไว้ เพื่อที่จะเป่าทำความสะอาด การเป่าโดยใช้ลูกยางเป่าลมควรทำอย่างระมัดระวัง และรักษาระยะหากพอสมควร เพื่อหลีกเลี่ยงปลายลูกยางเป่าลมไปขีดข่วนบนตัว CCD ควรเป่าในที่ ๆ มีฝุ่นน้อย เช่นในห้อง หรือในสถานที่ปิด หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกตัว CCD หรือเซ็นเซอร์รับภาพในทุกกรณี และหากยังมีฝุ่นตกค้างอยู่ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือนำกล้องถ่ายภาพของคุณไปให้ศูนย์บริการทำความสะอาดให้
การ ทำความสะอาดกล้องถ่ายภาพดูเหมือนเป็นเรื่องที่เสียเวลาไม่น้อย แต่สำหรับหลาย ๆ คนการทำความสะอาดอุปกรณ์ถ่ายภาพก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งหลังจากที่ได้ใช้มัน ร่วมไปในการเดินทางท่องเที่ยว และเก็บภาพประทับใจของคุณ หากไม่แน่ใจในการทำความสะอาดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของตัวกล้อง ทางเลือกที่ดีอีกอย่างคือการนำกล้องถ่ายภาพไปให้ศูนย์บริการ หรือร้านที่รับทำความสะอาดกล้องถ่ายภาพ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ผลที่ได้รับคุ้มค่า และมันใจได้ว่าอุปกรณ์ถ่ายภาพจะได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี ข้อสำคัญของการทำความสะอาดอุปกรณ์ถ่ายภาพคือ ทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง และใจเย็น เพราะสิ่งที่คุณทำจะมีผลโดยตรงกับกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพของคุณ ครั้งต่อไปหลังจากไปเที่ยว ก่อนเก็บกล้องเข้าตู้ ลองใช้เวลาซักนิดในการทำความสะอาดอุปกรณ์ถ่ายภาพของคุณ แล้วคุณจะพบว่าทุกครั้งที่คุณนำกล้องออกไปถ่ายภาพ อุปกรณ์ถ่ายภาพของคุณจะใสสะอาด และทำให้คุณมีความสุขกับการถ่ายภาพประทับใจของคุณอยู่เสมอ
 การพิจารณาเลือกกล้องถ่ายรูปแบบเลนส์เดี่ยว
         ในการเลือกซื้อ และเลือกใช้กล้องถ่ายรูปชนิดเลนส์เดี่ยวนั้นควรคำนึงถึงคุณลักษณะเฉพาะ (Specifications) ของกล้องเป็นหลัก ซึ่งคุณลักษณะ เฉพาะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
         1. ประเภทปรับหน้ากล้องโดยผู้ถ่ายรูปปรับเอง (Manual) ซึ่งผู้ถ่ายรูป จะต้องปรับหน้ากล้อง และความเร็วชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กันตามปริมาณของแสงที่วัดได้
         2. ประเภทปรับหน้ากล้องโดยอัตโนมัติ (Fully Automatic) ประเภทนี้แบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ คือ
             2.1 กล้องถ่ายรูป จะกำหนดค่าความเร็วชัดเตอร์เองโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ถ่ายรูปกำหนด หรือตั้งขนาดของรูรับแสง (F-Stop) เรียกระบบนี้ว่า Aperture Priority
             2.2 กล้องถ่ายรูปจะกำหนดขนาดของรูรับแสง (F-Stop) โดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ถ่ายรูปกำหนดค่าความเร็วชัดเตอร์ เรียกระบบนี้ว่า Shutter Speed Priorty
             2.3 กล้องถ่ายรูปมีกลไกที่จะกำหนดค่าความเร็ว ชัดเตอร์ และขนาดรูรับแสงอัตโนมัติ ผู้ถ่ายรูปเป็นผู้เลือกว่าจะตั้งอะไรก่อนตามที่ต้องการ เช่น ถ้าเลือกขนาดรูรับแสง กล้องจะกำหนดค่าความเร็วชัดเตอร์ให้สัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่ผู้ถ่ายตั้ง เอาไว้ และในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ถ่ายรูป เลือกค่าความเร็วชัดเตอร์กล้องก็จะกำหนดขนาดของรูรับแสงให้โดยอัตโนมัติ เรียกระบบนี้ว่า Dual Modeและระบบนี้ได้พัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นไป สามารถตั้งโปรแกรม (Program) ให้ทำงานอัตโนมัติได้ทั้งขนาดรูรับแสง และค่าความเร็วชัตเตอร์เรียกว่า Multimode
             2.4 กล้องถ่ายรูปอัตโนมัติ ซึ่งผู้ถ่ายรูปไม่สามารถกำหนดค่าความเร็วชัตเตอร์เพราะกล้องจะกำหนดโดย อัตโนมัติตามที่บริษัทได้ออกแบบเอาไว้ หากแต่มีกลไกที่สามารถปรับเปลี่ยนให้กล้องทำงานเหมือนกล้องไม่มีอัตโนมัติ เลยได้เรียกระบบนี้ว่า Manual-Over-ride

การบรรจุฟิล์มเข้ากล้อง 
การบรรจุฟิล์ม 35 ม . ม . เข้ากล้องมีขั้นตอนต้องปฏิบัติดังนี้
        1. เอากลักฟิล์มออกจากกล่องพลาสติด ซึ่งกล่องพลาสติดบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษ ( ควรทำในที่ร่ม ) หัวฟิล์มที่เป็น ปากฉลามจะโผล่ออกจากกลักฟิล์ม
        2. ตั้งค่าความไวแสงของฟิล์มที่ตัวกล้อง ซึ่งค่าไวแสงจะแจ้งไว้บนกล่องไว้บนกล่องฟิล์ม
        3. เปิดฝาหลังกล้องถ่าย โดยดึงปุ่มหมุนฟิล์มกลับขึ้น
        4. วางกลักฟิล์มลงในช่องเก็บทางซ้ายมือ โดยให้เดือยท่กลักฟิล์มชี้ลงข้างล่างกดแกนกรอฟิล์มที่ปุ่มหมุนฟิล์ม กลับลงที่เดิม
        5. ดึงฟิล์มผ่านระนาบให้รูหนามเตยยึดกับเฟืองหนามเตยสอดหัวฟิล์มให้ติดแน่นกับแกนเก็บหัวฟิล์ม
        6. ปิดฝากล้อง    
       7. หมุนที่หมุนฟิล์ม เพื่อแน่ใจว่ารูหนามเตย และเฟืองหนามเตยยึดอย่างมั่นคง
        8. กดชัตเตอร์ทิ้ง 1 ครั้ง
        9. หมุนแกนกรอฟิล์มกลับไปตามลูกศร เพื่อดึงฟิล์มให้ตึง
        10. หมุนที่หมุนฟิล์ม และตรวจสอบดูว่าแกนหมุนฟิล์มกลับหมุนตามหรือไม่ถ้าหมุนไปด้วย แสดงว่าใส่ฟิล์มถูกต้อง
        11. กดชัดเตอร์ทิ้ง 1 ครั้งและพร้อมที่ใช้กล้องถ่ายรูปได้ เลขบอกจำนวนภาพที่ถ่าย (Counter Number) จะปรากฏเป็นตัว S หรือเลข 1 ที่ หน้าต่างแสดงถึงภาพเริ่มต้นส่วนกล้องเล็กอัตโนมัติบางชนิด เพียงสอดฟิล์มเข้าตัวกล้อง หลังจากเปิดฝาหลังแล้ว เมื่อปิดฝาหลังฟิล์มจะเดินไปข้างหน้าพร้อม ให้ถ่ายรูปได้ใช้ง่ายสะดวกสบายมาก



อ้างอิง